รถไฟที่ทอดผ่านทุ่งนาทำให้เรารู้สึกได้เข้าใกล้กับคินุกะวะออนเซ็นและแม้ว่าเราจะเดินทางจากโตเกียวเพียง 2 ชั่วโมง แต่ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบก็ทำให้รู้สึกราวกับกำลังเดินทางไปยังสถานที่อันห่างไกล ในเดือนธันวาคมและอากาศแจ่มใสท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและฤดูใบไม้ร่วงกำลังบอกลาพวกเราด้วยสีสันของใบไม้สุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่

พวกเราเดินทางด้วยบัตร NIKKO PASS all area ที่ซื้อมากจาก TOBU Tourist Information Center ในอาซากุสะ สำหรับบัตรนี้เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการแวะเที่ยวตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ สามารถขึ้นบัสได้แบบไม่จำกัดในพื้นที่ที่กำหนดไว้ รวมถึงสามารถใช้งานรถไฟ TOBU ได้ตลอดทริป เพียงแค่โชว์ PASS นี้กับเจ้าหน้าที่ในสถานีรถไฟหรือคนขับรถบัส อย่างไรก็ตาม สำหรับการขึ้นรถไฟ limited express จะต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมด้วย แม้ว่าปลายทางของเราในวันนี้คือ ยุนิชิกาวะออนเซ็น (Yunishigawa) ซึ่งไกลออกไปเล็กน้อยและอยู่สูงขึ้นไปบนภูเขา แต่เราเลือกลงที่สถานี Kinugawaonsen ก่อน เพื่อจะขึ้นรถบัสที่มุ่งหน้าไปยัง Edo Wonderland ที่อยู่ด้านนอกสถานีป้ายที่ 3 พวกเราโชว์ NIKKO PASS ที่ให้ส่วนลดถึง 10% สำหรับบัตรเข้า Edo Wonderland เพื่อเพลิดเพลินกับการย้อนอดีตสู่วันวาน!

นั่งไทม์แมชชีนสู่อดีตใน EDO WONDERLAND

Edo Wonderland เป็นสวนสนุกที่ทำให้เราได้กลับไปสู่ยุคเอโดะ หรือ โตเกียวยุคโบราณ (ปี 1603 - 1868) ที่ยังคงรักษาคาแรคเตอร์แบบดั้งเดิมไว้ทุกประการ เริ่มจากพนักงานขายตั๋วที่แต่งตัวเหมือนชาวเอโดะและพูดภาษาเอโดะ เราเดินเข้าไปข้างในผ่านประตูไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ทำให้รู้สึกราวกับว่าเดินจากหลังฉากเพื่อออกมายังด้านหน้าของเวที

เมื่อมายัง "เวที" ซึ่งเป็นวิวอันงดงามเบื้องหน้าไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ ! เราได้เห็นการแสดงของโออิรันในโรงละครคาบุกิ และได้ชมขบวนพาเหรดอันงดงามของโออิรันใน Edo Parade จากนั้นเราได้ชมการแสดงของนินจาที่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วในความมืด การออกแบบท่าเต้นและการแสดงอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ!

พวกเราตื่นเต้นมาก ๆ ที่มีกิจกรรมให้ร่วมสนุกในดินแดนมหัศจรรย์นี้! อย่างเช่น การลองขว้างชูริเคน (ดาวกระจาย) อาวุธของนินจาในเส้นทางลึกลับ มีกิจกรรมสำหรับทดสอบการทรงตัวในบ้านนินจาที่มีพื้นเอียงหรือลองไปท้าทายในเขาวงกตนินจา! ในส่วนของการแสดงโออิรันก็ยังเชิญผู้ชมขึ้นไปร่วมบนเวทีด้วย!

บริเวณรอบ ๆ มีนินจาที่ซุ่มตัวอยู่และตำรวจ Edo Shinsengumi ที่คอยลาดตระเวนตามท้องถนน รวมทั้งเหล่าซามูไรที่อยู่ในพื้นที่ พวกเขาจะสอนวิธีควงดาบคาตานะหรือยิงธนูบนหลังม้า กิจกรรมที่มีเยอะขนาดนี้ทำให้เราคิดไม่ออกกันเลยว่าจะเลือกทำอะไรก่อนดี!
พวกเราตัดสินใจเลือกกิจกรรมที่จะได้ดื่มด่ำกับศิลปะและทดลองเล่นชามีเซ็น (shamisen) มีผู้สอนที่ใจดีคอยให้กคำแนะนำผู้เริ่มต้น สอนให้เราลองเล่นเพลงดั้งเดิมของญี่ปุ่นอย่าง “ Sakura, Sakura” ที่เรียบง่ายด้วยเครื่องดนตรี 3 สาย สำหรับผู้ชื่นชอบศิลปะทุกคน ยังมีเวิร์คช็อปเช่น การย้อมสีคราม (aizome), การทำภาพพิมพ์แกะไม้ ukiyo-e, ภาพวาดตุ๊กตาดารุมะเป็นต้น

แน่นอนว่าเรายังกลับไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ลิ้มรสเมนูฤดูใบไม้ร่วงเอโดะของ Edo Wonderland "Bakumatsu No Gyunabe Zen" เป็นอาหารที่คิดค้นโดยนักวิจัยการทำอาหารและปรับให้เข้ากับรสชาติของเอโดะพร้อมเฉลิมฉลองฤดูใบไม้ร่วงไปด้วย เป็นเมนูเนื้อตุ๋นในเอโดะมิโซะซุปที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่นจากข้างใน พร้อมส่วนผสมอื่น ๆ อย่างเช่น ถั่วย่าง แปะก๊วย มากุโระกับกระเจี๊ยบ และผักดองสไตล์เอโดะ เป็นอาหารกลางวันที่ให้ความบันเทิงอย่างแท้จริง

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบอกลา Edo Wonderland แต่หลังจากได้พบกับมาสคอตสุดน่ารักอย่าง Nyan-mage ในระหว่างทาง พวกเราก็รู้ว่ายังมีความสนุกสานานรออยู่ที่บนภูเขา

ละลายความเครียดที่ Hana to Hana ยูนิชิกาว่า ออนเซ็น

หลังจากใช้เวลาสั้น ๆ ในการนั่งรถบัสไปยังสถานี Kinugawaonsen เราก็ได้กล่าวทักทายรูปปั้นปีศาจน้อยที่ด้านหน้าสถานีและเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟไปสถานี Yunishigawa onsen ด้วยบัตร Nikko pass ที่ครอบคลุมการเดินทางเกือบทั้งหมดแค่จ่ายเพิ่มอีก 520 เยน เมื่อออกจากสถานี Yunishigawa onsen ข้างหน้าจะมีรถบัสพาไปจนถึงบริเวณพื้นที่เรียวกังและแวะให้ลงที่หน้าโรงแรม “ฮานะโตะฮานะ (Hana to Hana)”

โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในภูเขา มีภาพอันสวยงามของน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ช่วยในการฟื้นฟูและความงาม เป็นสถานที่แห่งเดียวในยูนิชิกาว่า ออนเซ็นที่สามารถดื่มน้ำจากออนเซ็นได้! สามารถลองได้ที่ทางเข้าซึ่งต้องเจือจางด้วยน้ำเย็นเล็กน้อย ออนเซ็นมีรสชาติเหมือนไข่เหลว! ในส่วนของโรงแรมได้มีการจัดเรียงทุกอย่างไว้อย่างลงตัวรอบ ๆ ทั้งพื้นที่ทั้งสี่ปีกของโรงแรม แต่ละปีกจะมีทิวทัศน์ที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละฤดูกาล โดยเฉพาะปลายฤดูใบไม้ร่วงและเริ่มต้นฤดูหนาวแบบนี้ ในห้องของเราหันหน้าไปทางหุบเขาและสิ่งแรกที่เราทำก็คือการจิบชาเขียวอุ่น ๆ ที่ริมหน้าต่าง

พวกเราได้ลองใส่ชุดยูกาตะสีม่วงที่แสนน่ารักและรองเท้าไม้โซริ ซึ่งพนักงานได้จัดเตรียมไซส์ที่พอดีกับเรา เสียงกระทบกันกับพื้นของรองเท้าได้นำทางเราไปยังบ่อน้ำพุร้อนที่ทำให้เหมือนได้รับพรวิเศษ ชำระล้างความเหนื่อยล้าในบ่อน้ำพุร้อนเป็นสิ่งที่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องการมาก ๆ ในช่วงวันหยุด

แช่ตัวในอ่างอาบน้ำ rotenburo พร้อมเฝ้ามองพระจันทร์เสี้ยวและใบโมมิจิสีแดงสุดท้ายที่กำลังร่วงหล่นลงไปในน้ำ ขอบอกเลยว่าตอนนี้แทบไม่อยากจะไปจากที่นี่เลย! เว้นก็แต่การแวะไปทดลองแช่น้ำในบ่ออื่น ๆ ของ Hana to Hana!
สำหรับการปรนนิบัติแบบพิเศษนี้ เราต้องจองคอร์สหนึ่งชั่วโมงในออนเซ็นส่วนตัว (เรียกว่า kashikiri ออนเซ็น) นี่คือ ตัวเลือกที่ดีสำหรับใครที่ขี้อายหรือมีรอยสักหรือด้วยเหตุผลใดก็ตาม รวมถึงผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว พวกเรามีความสุขในทุกช่วงเวลาแห่งความสงบนี้ ท่ามกลางหมอกสีขาวที่ลอยอยู่ในอากาศ น้ำที่หยดลงบนก้อนหิน และแม่น้ำที่ไหลลงมาเบื้องล่าง ...

ประสบการณ์แช่ออนเซ็นเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวแบบขาดกันไม่ได้ แน่นอนว่ามีกฎและมารยาทในการปฏิบัติตามด้วยเช่นกัน เริ่มจากขั้นตอนที่ 1: ต้องถอดเสื้อผ้าออก ขั้นตอนที่ 2: ทำความสะอาดร่างกายให้สะอาดก่อนเข้าสู่บ่อน้ำพุร้อน ขั้นตอนที่ 3: ผ่อนคลายและเพลิดเพลิน!
ในน้ำ: ห้ามใช้สบู่หรือแชมพู ผ้าเช็ดตัว ห้ามให้ผมแช่ลงไปในน้ำและควรเก็บผมมัดเป็นมวยขึ้นไปให้เรียบร้อย เหล่านี้เป็นกฎพื้นฐานของการแช่น้ำพุร้อนหรือเซนโตในประเทศญี่ปุ่น

ทำอาหารในเตาอิโรริ เสิร์ฟร้อนตรงหน้า

อาหารค่ำถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ พนักงานพาพวกเราเดินผ่านห้องโถงเพื่อนำทางไปยังห้องอาหารแบบส่วนตัว เมื่อมาถึงเราก็หย่อนตัวนั่งลงเอาขาวางไว้ใต้เตาอิโอริและเท้าของเราก็ได้สัมผัสกับพื้นที่อบอุ่น ความรู้สึกของเราตอนนี้เหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนไปยังเอโดะ สู่ช่วงเวลาที่กลุ่มเฮเกะปกครองดินแดนแห่งนี้ในยุคเฮอัน (ปี 794–1185)

การปรุงอาหารด้วยเตาอิริโอริเป็นสิ่งที่หาได้ยากในปัจจุบัน เป็นอุบายการทำอาหารที่แฝงด้วยไออุ่นและพลังในการให้สมาชิกในครอบครัวมารวมตัวกัน พร้อมเสิร์ฟเหล้าสาเกแบบ Limited Edition และอาหารที่เราได้ลองย่างกัน! มีปลาจากแม่น้ำ ไก่ เนื้อวัว และเนื้อกวาง ซุปมิโซ เพิ่มความอร่อยด้วยเห็ดในท้องถิ่นและไวน์ทำจากองุ่นป่า เมนูอาหารถูกเสิร์ฟอย่างต่อเนื่องบนจานหรูหราเหมือนเป็นงานฉลองที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดเลยทีเดียว

Hana to Hana ยังมีบาร์สาเกที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากโรงกลั่นในท้องถิ่น มีพื้นที่เลานจ์ที่กว้างขวางแม้กระทั่งบาร์คาราโอเกะพร้อมบูธส่วนตัว! แต่ในค่ำคืนนี้เราขอเลือกที่จะผ่อนคลายในฟูตองอุ่น ๆ นุ่ม ๆ บนพื้นเสื่อทาทามิที่ทำจากฟาง

เดินทางย้อนเวลาอีกครั้งใน Heike no Sato

เมนูอาหารเช้าของเรียวกังนั้นอร่อยเช่นเดียวกับอาหารค่ำ แถมยังให้อย่างจุใจสมกับเป็นเรียวกังออนเซ็น อาหารเช้าที่ช่วยเพิ่มพลังงานได้เป็นอย่างดีสำหรับการตื่นเช้า เราเดินประมาณ 20 นาทีไปยังหมู่บ้าน Heike no Sato เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ของภูเขา พวกเราผ่านเรียวกังที่เงียบสงบและร้านค้าท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นว่าเราเดินกันมาถูกทาง และไม่นานก็มาถึงหมู่บ้าน Heike no Sato ที่มีบ้านทรงหลังคามุงที่โดดเด่นมาจากด้านหลังประตูทางเข้า

หมู่บ้านแห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีการจัดแสดงสถาปัตยกรรมอยู่ในตัว โดยมีการจัดแสดงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอยู่ภายใน มีกระท่อมเล็ก ๆ ที่โอบล้อมด้วยมอสส์สีเขียวและล้อมรอบด้วยธรรมชาติที่เงียบสงบ ช่วงเวลานี้สามารถมองเห็นหิมะเล็กน้อย! สำหรับวันที่หนาวเย็นแบบนี้ ในหมู่บ้านมีกระท่อมที่เป็นคาเฟ่และร้านอาหารในบรรยากาศสบาย ๆ เพื่อให้เราได้ไปหลบหนาว จากนั้นเรารีบกลับขึ้นรถบัสไปที่ คินุกะวะ ออนเซ็น เพราะยังมีสิ่งอื่นที่ยังต้องทำอีก

สปาเท้าอะชิยุที่ Café ESPO

แม่น้ำคินุกะวะที่อยู่ใต้สะพานแขวนคินุทะเทะอิวะ (Kinutateiwa Otsuribashi) งดงามเหนือจริง ซึ่งในภาพที่เราถ่ายออกมานั้นก็สวยมากจนแทบไม่มีใครเชื่อเลยว่าไม่ได้ใช้ Filter ในคินุกะวะออนเซ็นยังคงหลงเหลือบรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงที่ได้เติมเต็มสีของแม่น้ำ ระหว่างเดินข้ามสะพานนั้น ตัวสะพานมีการสั่นที่ค่อนข้างน่ากลัว ทำให้พวกเราจึงตัดสินใจที่จะชมวิวใน Café ESPO ที่สามารถมองเห็นสะพาน Otsuribashi ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ที่นี่ไม่ใช่คาเฟ่ธรรมดา ๆ เพราะเราอยู่ในเมืองออนเซ็น! มีน้ำพุร้อนไหลผ่านหลายจุดของที่นี่และมีสถานที่ที่เรียกว่า "ashiyu" (足湯, แปลว่า "น้ำพุร้อนสำหรับเท้า") รอบ ๆ คินุกะวะออนเซ็นมี Café ESPO ที่เป็นการผสมผสานระหว่างคาเฟ่และ "ashiyu" ที่สามารถนั่งจิบลาเต้แสนอร่อยในขณะที่แช่เท้าในน้ำน้ำพุร้อน พร้อมมองเห็นสะพานที่อยู่เบื้องหน้า เรารู้สึกผ่อนคลายมาก ๆ และในคาเฟ่ก็มีบริการผ้าเช็ดตัว เป็นแนวคิดที่ดีที่ควรมีบริการแบบนี้ในหลาย ๆ ที่

โรงกลั่นสาเก Katayama Shuzo ธุรกิจครอบครัวที่ต้อนรับอย่างเป็นกันเอง

ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เราได้ยินมามากมายเกี่ยวกับสาเกท้องถิ่นและแม้แต่สาเกหายากจากที่พักของเรา ซึ่งเราจะไปค้นหาแหล่งที่มากัน! เราทานอาหารกลางวันที่รอบสถานี Kinugawaonsen เมนู “yuba” เต้าหู้แสนอร่อยของภูมิภาค จากนั้นเราก็นั่งรถไฟเพื่อไปสถานี Shimoimaichi อย่างรวดเร็ว ที่นั่นมีโรงเบียร์ Katayama Shuzo ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการเดินเพียง 15 นาทีหรือนั่งแท็กซี่ในราคาไม่แพงมาก

ที่ผนังโรงเบียร์เรียงรายไปด้วยชื่อของคนที่สั่งซื้อสาเกที่ยังไม่ได้ทำและตู้เย็นที่โชว์เหล้าสาเกที่ทำขึ้นเองสำหรับทีมรักบี้ของนิวซีแลนด์อย่าง All Blacks อย่างไรก็ตาม คาตายามะซังไม่ได้ขอให้เราเชื่อมั่นในชื่อเสียงหรือใช้คำพูดของเขา แต่เขาชวนให้ไปลองชิมเหล้าขายดีและได้รับรางวัลของโรงกลั่นและเหล้าหวาน ทั้งตัวอย่างสาเกและบุคลิกภาพที่สดใสของเขาก็เพียงพอที่จะส่งเรากลับบ้านด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่เรากำลังจะไปที่สถานีรถไฟเพื่อกลับโตเกียว ลมหนาวรอบ ๆ สถานี Shimoimaichi ได้เริ่มพัดผ่านเข้ามา เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการรีบเข้าไปซุกตัวในรถไฟอุ่น ๆ และถึงแม้ว่าทริปแสนสนุกนี้กำลังจะจบลง แต่แล้วก็มีเรื่องเซอร์ไพรส์อีกมากมาก อย่างแรกความประหลาดใจในสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างเช่น รถไฟหัวรถจักรไอน้ำ SL TAIJU ที่มีควันพุ่งออกมาเตือนให้เราย้อนรำลึกถึงอดีต และอย่างที่สองคือ พระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดได้ฉาบสีท้องฟ้าที่กำลังลุกไหม้ตลอดเส้นทางไปจนถึงอาซากุสะ ถือได้ว่าเป็นทริปแห่งปรากฏการณ์ที่ไร้กาลเวลาอย่างแท้จริง

เว็บไซต์เพิ่มเติม
https://www.tobujapantrip.com/th/nikko_kinugawa/access/
NIKKO PASS
https://www.tobujapantrip.com/th/ticket/nikko/all.html
ผู้ถือบัตร Pass จะได้รับส่วนลด เช่น ส่วนลด 10% สำหรับบัตรผ่านประตู Edo Wonderland
เส้นทางรถบัส Tobu (เฉพาะภาษาอังกฤษ)
http://www.tobu-bus.com/en/nikko/
Edo Wonderland
http://edowonderland.net/th/
ยุนิชีงาวะออนเซ็น
https://travel.tochigiji.or.jp/th/onsen/
โรงแรม Hana to Hana (เฉพาะภาษาอังกฤษ)
https://www.yunishigawa.co.jp/en/
Heike no Sato (เฉพาะภาษาญี่ปุ่น)
http://www.heikenosato.com/
Café ESPO (เฉพาะภาษาญี่ปุ่น)
http://www.sunshine-kinugawa.co.jp/facilities/index.html#cafe
Katayama Shuzo Sake Brewery (เฉพาะภาษาอังกฤษ)
http://www.kashiwazakari.com/process/english.html