สความเป็นญี่ปุ่นหลายมิติ ฉันคิดว่านี่คือตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะมีทุกอย่างครบที่ว่ามา เอ๊ะ บอกไปรึยังนะว่านี่คือเมืองซามูไรที่เต็มไปด้วยเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์ด้วย! ขอเวลาแค่ 2 วัน 1 คืน ลองตามมาเที่ยวที่นี่ด้วยกัน เรามั่นใจว่าจะเพลิดเพลินกันถ้วนหน้า

ณ เวลา 6:30 ตอนเช้าอันสดใสของโตเกียว เราสะพายเป้มายังสถานีอาซาคุสะของรถไฟโทบุด้วยความตื่นเต้น เพราะเป้าหมายของเราในวันนี้คือ ที่ท่องเที่ยวแจ่มๆ ในย่าน Aizu Wakamatsu ซึ่งรถไฟด่วน Revaty พาเราวิ่งตรงจากสถานีอาซาคุสะไปยังสถานี Aizu-tajima ด้วยเวลาเพียง 3 ช.ม. และต่อรถไฟสายท้องถิ่นไปยังสถานี Aizu wakamatsu อีกชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้ว

ตลอดสองวันนี้จะขึ้นลงรถไฟกี่เที่ยวก็สบายใจ เพราะใช้ Yuttari Aizu Tobu Free Pass ที่เราสามารถนั่งรถไฟของโทบุได้ไม่อั้นตั้งแต่สถานีชิโมะอิมะอิจิไปจนถึงย่านนิกโก้, คินุกาวะออนเซ็น, ไอซึ, อาชิโนะมากิออนเซ็น รวมตั๋วรถไฟด่วนพิเศษไปกลับจากอาซาคุสะด้วย ราคาเพียง 7,390 เยน (ค่ารถไฟด่วนต้องจ่ายแยกต่างหาก)พาสนี้หาซื้อได้ไม่ยาก เช่น Tobu Tourist Information Center ที่สถานีโทบุอาซาคุสะ หรือบริษัททัวร์ต่างๆ อย่าง Tobu Top Tour, JTB

ตอน 6:00 จุดขายตั๋วอื่นยังไม่เปิด เรามาซื้อกับพนักงานที่ช่องนี้ รับเฉพาะเงินสดนะจ๊ะ

เราเลือกที่นั่งริมหน้าต่างของ Revaty รถไฟด่วนอันแสนสะดวกสบายรุ่นใหม่ล่าสุดของโทบุที่มาพร้อมปลั๊กไฟทุกที่นั่งและ wifi ฟรีตลอดการเดินทางเพื่อชมวิวสวยๆ ข้างทางไปพลางเปิดคอมปั่นงานเพลินๆ

รถใหม่ ใหญ่ สะอาดมากๆ
มีภาษาอังกฤษบอกรายละเอียดด้วย สบายใจได้เลย
ปลั๊กส่วนตัวทุกที่นั่ง

11 โมงนิดๆ เราเดินทางมาถึงสถานี Aizu Wakamatsu เราพุ่งไปซื้อตั๋วรถบัสแบบ 1 day ticket (600 เยน)ที่พาวนเที่ยวครบจุดเด่นๆ ในย่านนี้เลย จุดขายตั๋วก็อยู่หน้าสถานีเลย ถ้าโชคดีก็จะได้ขึ้นรถรุ่นวินเทจสุดน่ารักด้วยนะ เอาล่ะ ตั๋วพร้อมแล้ว มุ่งหน้าไป Nanokamachi Shopping Street กันเลย!

จุดขายตั๋วรถบัสแบบ 1 day ticket

Nanokamachi Shopping Street (*ลงรถบัสป้าย Nanokamachi ekimae หรือ Omachi nihonmachi ก็ได้)

บอกตามตรงว่าหิวมาก เราขอเปิดทริปที่ร้าน Nakajima ด้วยอาหารดังประจำท้องถิ่นอย่าง Katsudon ข้าวหน้าหมูทอดราดซอสพิเศษสูตรลับของทางร้าน ในความเค็มมีรสเปรี้ยวอมหวานตัดกันกำลังดี

แค่เดินไม่กี่แยก เราก็ตกหลุมรักย่านนี้ซะแล้ว เพราะแค่เดินชมอาคารเก่าแก่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ตามทางก็แสนเพลิดเพลิน มีทั้งอาคารไม้โบราณ, อาคารวินเทจ, อาคารเสาโรมันที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก ที่สำคัญ ย่านนี้มีร้านขนมคาเฟ่กรุบกริบและงานคราฟต์ประจำท้องถิ่นขายหลายอย่าง สายช็อปต้องมีมือสั่นกันบ้างล่ะ

สิ่งที่ห้ามพลาดคือ น้องตุ๊กตาล้มลุกแฮนด์เมด "Okiagari Koboshi" หน้าตาจิ้มลิ้ม ดูมินิมอลนิดๆ โมเดิร์นหน่อยๆ แต่เป็นงานคราฟต์ออริจินัลที่สืบทอดกันมากว่า 400 ปีของเมืองไอซึเลยทีเดียว เป็นตุ๊กตาที่เราขอพรให้เรามีสุขภาพแข็งแรงทำงานได้อย่างแข็งขัน (ส่วนน้องวัวแดงอากาเบโกะที่เห็นทั่วเมืองนั้นเป็นงานคราฟต์ที่แพร่หลายในแถบโทโฮคุ แต่น้องวัวที่เราเจอย่านนี้จะลวดลายต่างจากจังหวัดอื่นนิดหน่อย) และร้านเดียวที่ยังทำอยู่คือ Yamada Mingei Kobo ถ้าแวะมาที่นี่จะได้ฟังเรื่องราวเชิงลึกและมีกิจกรรมให้ลองระบายสีด้วยนะ

นอกจากนี้ เมืองไอซึยังโด่งดังเรื่องสาเก Suehiro Sake Brewey เป็นหนึ่งในผู้ผลิตสาเกที่โด่งดังและใหญ่ที่สุดเจ้าหนึ่งในโทโฮคุ เหล้าจากที่นี่ไปปรากฎในละครและภาพยนตร์ต่างๆ มากมาย ใครไม่คุ้นกับสาเกญี่ปุ่น เขาก็มีบาร์ให้ลองจิบนิดๆ (อุเมะชุคือดี๊ดี น่าจะถูกปากชาวไทยเชียวล่ะ) สายหวานลองแวะคาเฟ่ของเขาได้ ที่นี่มีเมนูเด็ดคือเค้กที่อินฟิวส์สาเกเข้าไปด้วย

สำหรับคนที่ต้องการหาซื้อของฝาก เราว่าร้าน Aizu Brand Kan ที่รวบรวมของ OTOP ตัวท็อปนี่ครบเครื่องเลย ร้านขายผ้าชิคชิคอย่าง Momen-ito ก็น่ารัก และร้าน Aizu antena shop ที่มีคาเฟ่ในตัวก็เริ่ดเชียว

ด้านนอกและด้านใน AIZU BRAND KAN
ร้าน Momen-ito
ร้านขนมดังโกะ
คาเฟ่ขนมญี่ปุ่น
ด้านนอกและด้านในของ Aizu antena shop

Tsuruga Castle (*ลงรถบัสป้าย Tsurugajo-iriguchi)

อย่างที่เคยเกริ่นไว้ว่านี่คือเมืองซามูไร จริงๆ แล้ว จะบอกว่าเป็น Land of Last Samurai ก็ว่าได้

เพราะในอดีต เมืองไอซึคือที่มั่นแห่งสุดท้ายของเหล่าซามูไรก่อนจะต้องยอมแพ้ให้กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ของรัฐบาลเมจิ สงครามกลางเมืองในตอนนั้นสร้างความเสียหายในกับปราสาทซึรุกะมากมาย ปราสาทสวยๆ ที่เราเห็นในปัจจุบันคือได้รับการบูรณะแล้วด้วยเทคนิคดั้งเดิมของช่างสมัยเอโดะ ดังนั้นนอกจากเราจะได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่นี่ เรายังได้สังเกตศิลปะการก่อสร้างสไตล์เอโดะด้วยนะ ด้านบนสุดมีจุดชมวิวที่มองเห็นเมืองแบบพาโนรามา สายเสพย์วิวน่าจะปลื้มเลยล่ะ

ชมปราสาทเสร็จแล้วถ้าชอบจิบชา ชมสวน เดินแวะไปที่ Rinkaku Tea Cottage ด้วยก็ได้ ได้สัมผัสบรรยากาศแบบเวรี่เจแปนนีสเต็มที่ไปเลย

Sazae-do (*ลงรถบัสป้าย Iimoriyama-shita)

ซาซาเอะโดคือวัดไม้เก่าแก่สองชั้นที่โครงสร้างสถาปัตยกรรมเก๋ล้ำมากด้วยบันไดวน (spiral) ต่อเนื่องที่ทำให้ผู้ที่เข้าไปด้านในจะไม่ได้กลับมาผ่านที่เดิมเป็นครั้งที่ 2 (ที่นี่ห้ามถ่ายรูปด้านในเพื่อใช้การโฆษณานะ) ที่นี่มีทั้งความเท่ ความขลัง และความน่าประทับใจ ด้วยความที่ตั้งอยู่บนเนินสูงตีนเขาอีโมริยามะ ใครเดินไม่ไหวมีบันไดเลื่อนให้บริการในราคามิตรภาพ 250 เยนเท่านั้น นอกจากจะได้ไหว้พระที่วัดที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม ตรงนี้ยังเป็นจุดชมวิวเมืองที่สวยมากเชียว

Ookawaso, Ashinomaki Onsen

เวลาล่วงเลยมาถึง 5 โมงเย็น กลับโรงแรมดีกว่า วิธีเดินทางไม่ยากเลย นั่งรถไฟต่อเดียวจาก Aizu-wakamatsu มาที่สถานี Ashinomaki onsen ได้เลย วันที่เดินเยอะๆ แบบนี้ การได้นอนพักที่เรียวกังซึ่งมีออนเซ็นดีๆ ให้แช่นี่เหมือนเป็นรางวัลของชีวิตเลยทีเดียว

เราเลือกนอนที่เรียวกังโอคาวะโซในย่านอาชิโนะมากิออนเซ็นเพราะว่ามี Shikibutai-tanata ออนเซ็นกลางแจ้งที่สวยมากกก เขาทำเป็น 3 ลำดับขั้นเก๋ๆ เหมือนไร่นาขั้นบันได โดยหันหน้าออกสู่แม่น้ำและป่าซึ่งเปลี่ยนเป็นสีส้มสวยมากในฤดูใบไม้ร่วง สำหรับคนขี้อาย ขอแช่คนเดียวเขาก็มี Kuchu-rotemburo ออนเซ็นกลางแจ้งแบบที่จองแช่ส่วนตัวได้เช่นกัน (มีซาวน่าหินแบบสปาให้ใช้ด้วยนะ)

ออนเซ็นขั้นบันได
ออนเซ็นแบบจองแช่ส่วนตัวได้
ห้องนั่งพัก จิบน้ำ ชมวิว
สปาหิน

สายวัฒนธรรมต้องเป็นปลื้ม เพราะเขามีการแสดงดนตรีซามิเซ็นต้อนรับแขกที่มาพักตั้งแต่เวลา 16:00-18:00 และมีการแสดงการตำโมจิที่เปิดโอกาสให้แขกไปร่วมสนุกด้วย สายฟู้ดดี้ก็น่าจะชอบอาหารที่นี่ทีเดียว ไลน์บุฟเฟต์หลากหลาย มีอาหารท้องถิ่นอย่างข้าวปั้นเสียบไม้ย่าง Shingoro เนื้อสเต็กก็มี ชาบูก็มา พุดดิ้งเกลือออริจินอลของโรงแรมคือดีงามน้ำตาไหล

สายช็อปก็แฮปปี้ มีร้านขายของฝากครบวงจรและตลาดเช้าด้วยนะ

และห้องพักไม่ต้องพูดถึง พักผ่อนสบายคลายความเหนื่อยล้าที่แท้จริง

วิวจากห้องพัก

Day 2 อาชิโนะมากิออนเซ็นอนเซ็น → หมู่บ้านโบราณโออุจิจุกุ

Ashinomaki Onsen

ตื่นเช้ามาลองไปเดินสำรวจเมืองออนเซ็นเล็กๆ ริมแม่น้ำที่มีภูเขาล้อมรอบนี้กัน

ใครแช่ออนเซ็นทั้งตัวไม่ไหว ขอให้มาลองเริ่มต้นที่การแช่เท้าที่ออนเซ็นด้านบนสวนคากายากิก่อน วิวตรงนี้สวยมาก นั่งแช่เท้าอุ่นๆ คือถือเป็นการเริ่มต้นวันที่ฟินมาก

อีกจุดที่อยากแนะนำคือ Konsei Srine ศาลเจ้าเล็กๆ ที่โด่งดังเรื่องการแต่งงานและการขอลูกดก ข้างโทริอิมีออนเซ็นเท้าเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Kodakara no Yu ด้วย

Ouchi-juku

ประกอบร่างพร้อมแล้วไปลุยกันต่อที่หมู่บ้านโบราณโออุจิจุกุ จากอาชิโนะมากิออนเซ็นนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Yunokami Onsen แค่เริ่มต้นทริปวันนี้ก็กรี้ดแล้ว สถานีนี้เป็นสถานีเดียวของญี่ปุ่นที่เป็นอาคารโบราณมุงหลังคาด้วยวิธีดั้งเดิมแบบที่เราคุ้นตากันที่ชิราคาวาโก และมีออนเซ็นเท้า(อีกแล้ว)ให้แช่ด้วยนะ

จากที่นี่เราจะนั่งบัสต่อไปยังโออุจิจุกุ ซึ่งใช้เวลาเพียง 30 นาทีเหมือนเราได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนไปสู่สมัยเอโดะ บ้านมุงหลังคาหญ้าแบบดั้งเดิมเรียงรายเป็นแถวอย่างมีระเบียบ มีคลองเล็กๆ สองข้างทางถนนส่งเสียงน้ำไหลที่ชวนให้รู้สึกสบายใจ วันนี้หิมะตกด้วย สวยสุดๆ ไปเลย

สมัยก่อนที่นี่เคยเป็นเมืองพักแรมของนักเดินทางที่ใช้เส้นทางไอซึนิชิไคโดซึ่งเชื่อมเมืองไอซึและนิกโก้ไว้ด้วยกัน เนื่องจากโชกุนกำหนดให้นักเดินทางต้องเดินเท้าเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีที่จุดพักระหว่างทางสำหรับอาหารและที่พัก ปัจจุบันนี้ที่นี่ยังคงรักษาทิวทัศน์และบรรยากาศแบบเอโดะแต่มีน้ำไฟและโทรศัพท์ใช้ปกติ

เห็นดูเก่าแก่แบบนี้ ด้านในของบางอาคารเป็นคาเฟ่เก๋ๆ เลยนะ

ด้านหน้าเป็นร้านขายของ มีแยมผักด้วย
คาเฟ่กรุบกริบด้านในของร้าน Fuku no Sinajina

นอกจากจุดชมวิวที่ Ouchi-juku Miharashidai ก็ต้องชิมของดังประจำท้องถิ่นอย่าง "เนกิโซบะ" ด้วย เนกิคือต้นหอมญี่ปุ่น ในชามโซบะที่เส้นแข็งกำลังดี ส่วนซุปหอมและอร่อยมากนี้จะมีเนกิต้นเบ้อเริ่มใส่มาด้วยแบบสดๆ สังเกตดีๆ จะเห็นว่าปลายงอนิดหน่อย ว่ากันว่าทำเพื่อให้ตักโซบะทานง่ายๆ เราลองแล้ว ก็ใช้แทนตะเกียบได้อยู่นะ ส่วนของหวาน ขอยกให้ขนมโมจิราดซอสถั่ววอลนัท อร่อยมาก เนื้อหนึบติดหวานนิดๆ กลมกล่อม

จุดชมวิว Ouchi-juku Miharashidai
เนกิโซบะ

แม้โออุจิจุกุจะไม่ใหญ่มาก แต่ในระยะทางประมาณ 50 เมตรนี้มีอะไรให้แวะเยอะเหลือเกิน รู้สึกตัวอีกทีก็ 16:30 ถึงเวลาปิด เป็นสัญญานว่าได้เวลาพกความประทับใจกลับบ้าน ประจวบเหมาะกับรถไฟด่วน Revaty รอบ 5 โมงจากสถานี Yunokami Onsen ตรงดิ่งสู่อาซาคุสะพอดี

2 วันนี้อาจจะเดินเยอะหน่อย แต่อิ่มอร่อยเพลินมากจริงๆ ได้ทั้งของฝากติดมือ และความสนุกที่ติดใจ

สถานที่และพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง